วิชาเศรษฐศาสตร์กับชีวิต(เพิ่มเติม) ม. 2

ระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆ


ระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆ
ระบบเศรษฐกิจ หมายถึง การรวมตัวกันเป็นกลุ่มของหน่วยเศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยบุคคลหรือสถาบันที่ทำหน้าที่เฉพาะอย่างในทางเศรษฐกิจ เพื่อกำหนดว่าจะผลิตอะไร ผลิตอย่างไร จำนวนมากน้อยเท่าใด เมื่อผลิตแล้วจะจำหน่ายแจกจ่ายให้แก่ใครจึงจะเกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งการจัดหน่วยเศรษฐกิจแบบนี้ เป็นการจัดตามหน้าที่ของหน่วยเศรษฐกิจนั้นๆ  การจำแนกระบบเศรษฐกิจ
การตัดสินปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจมีหลายวิธี สังคมใดจะเลือกวิธีใดขึ้นอยู่กับระบบเศรษฐกิจของสังคมนั้น โดยทั่วไปนิยม

แบ่งระบบเศรษฐกิจออกเป็น 3 ระบบ ดังนี้


1. ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่เปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปเลือกตัดสินใจดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามความสามารถและโอกาสของตนโดยอาศัยตลาดและราคาในการเลือก โดยรัฐหรือเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางมีบทบาทเกี่ยวข้องน้อยมาก
ลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ได้แก่
- ทรัพย์สินและปัจจัยการผลิตเป็นของเอกชน
- เอกชนเป็นผู้ดำเนินการกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดยผ่านกลไกราคา และมีกำไรเป็นแรงจูงใจที่ สำคัญ
- มีการแข่งขันเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจ
- รัฐไม่เข้าแทรกแซงทางเศรษฐกิจ มีบทบาทเพียงการรักษาความสงบเรียบร้อย ความ ยุติธรรม เพื่อให้เอกชนมีความมั่นใจในการทำธุรกิจ
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม คือ ประชาชนสามารถใช้ความรู้ความสามารถ โอกาส ความคิดริเริ่ม ของตนในการผลิตและบริโภคเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตนได้อย่างเต็มที่
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม คือ จากความสามารถและโอกาสของบุคคลที่แตกต่างกัน ทำให้มีระดับรายได้แตกต่างกัน นำไปสู่ปัญหาการกระจายรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน ส่วนการผลิตในระบบทุนนิยมเป็นที่มาของการแข่งขันกันผลิต นำไปสู่การทำลายทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติจนกลายเป็นปัญหาของโลกปัจจุบัน
ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อังกฤษ สิงคโปร์

2. ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต วางแผนและควบคุมการผลิตบางประเภท โดยเฉพาะการผลิตที่เป็นผลประโยชน์ร่วมกันของประชาชน เช่น การสาธารณูปโภค ต่างๆ สถาบันการเงิน ป่าไม้ เอกชนถูกจำกัดเสรีภาพในกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะส่วนที่เป็นผลประโยชน์ของส่วนรวม ดำเนินการได้เพียงอุตสาหกรรมและเกษตรกรรมขนาดย่อม ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาความแตกต่างด้านฐานะระหว่างคนรวยและคนจน
ลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ได้แก่
- รัฐคุมการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกรูปแบบ
- ไม่มีการแข่งขันเกิดขึ้น
-รัฐสั่งการผลิตคนเดียว
- มีการวางแผนจากส่วนกลาง
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม คือ สร้างความเสมอภาคด้านฐานะทางเศรษฐกิจของบุคคลในสังคม ประชาชนได้รับสวัสดิการจากรัฐบาลกลางโดยเท่าเทียมกันและสามารถกำหนดนโยบายเป้าหมายตามที่รัฐบาลกลางต้องการได้
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม คือ ประชาชนขาดแรงจูงใจในการทำงาน เศรษฐกิจของประเทศอาจเผชิญวิกฤติหากรัฐกำหนดความต้องการผิดพลาดและการไม่มีระบบแข่งขันแบบทุนนิยมทำให้ไม่มีการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ
ประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม เช่น เกาหลี ลาว เวียดนาม

3. ระบบเศรษฐกิจแบบผสม
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เป็นระบบเศรษฐกิจที่ผสมระหว่างระบบทุนนิยมกับสังคมนิยม มีรัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตหรือควบคุมการผลิตขนาดใหญ่ แต่ปัจจัยการผลิตส่วนใหญ่เป็นของเอกชน การกำหนดราคาขึ้นกับกลไกแห่งราคาของตลาด
ลักษณะสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบผสม ได้แก่
- เอกชนมีเสรีภาพ
- มีการแข่งขัน แต่รัฐอาจแทรกแซง การผลิตได้บ้าง
- รัฐดำเนินกิจการบางอย่างในรูปของรัฐวิสาหกิจ เช่น สาธารณูปโภค ( ไฟฟ้า ประปา )
- มีการวางแผนจากส่วนกลางและมีสวัสดิการจากรัฐ
ประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบผสม เช่น ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน กัมพูชา พม่า เป็นต้น 


อุปสงค์ อุปทาน และราคาดุลยภาพ
อุปสงค์ (Demand) หมายถึง ความต้องการสินค้าและบริการ ซึ่งมีความเต็มใจที่จะซื้อและมีความสามารถในการซื้อสินค้า
        อุปสงค์ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ ๓ ประการ คือ
๑.   ความต้องการซื้อ
๒.  ความเต็มใจซื้อ
๓.  อำนาจในการซื้อหรือมีเงิน

อุปทาน (Supply) หมายถึง ความสามารถในการผลิตหรือเสนอขายสินค้าและบริการ  เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์
๑.   ราคาของสินค้าและบริการที่ประสงค์จะซื้อ
๒.  รสนิยมของผู้บริโภค
๓.  รายได้ของผู้บริโภค
๔.  ฤดูกาล
๕.  การโฆษณาชวนเชื่อ
๖.   การคาดคะเนเกี่ยวกับราคาสินค้า

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทาน
๑.   เทคโนโลยีการผลิต
๒.  ราคาปัจจัยการผลิตเปลี่ยนแปลง
๓.  การเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ
๔.  ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ เปลี่ยนแปลง
๕.  ภาษี และเงินอุดหนุน
๖.   จำนวนผู้ขายในตลาด

ราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพ
        ราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพเกิดจากความต้องการซื้อและความต้องการขาย
-      ความพอใจของทั้งผู้ซื้อและผู้ผลิต เรียกว่า ดุลยภาพ
-      ถ้าเป็นราคาที่ทั้ง ๒ ฝ่ายพอใจ เรียกว่า ราคาดุลยภาพ
-      ถ้าเป็นปริมาณที่ทั้ง ๒ ฝ่ายพอใจ เรียกว่า ปริมาณดุลยภาพ (ถ้าผลิตมากสินค้าจะเหลือ ถเผลิตน้อยสินค้าก็จะขาดแคลน)
(เพิ่มเติม) กลไกราคา หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน
                   
ระบบเศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจ คือ ลักษณะการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของแต่ละสังคม เพื่อบรรลุจุดหมายสูงสุดทางเศรษฐกิจ (อยู่ดี กินดี มั่งคั่ง) สิ่งแวดล้อมและปัจจัยต่างๆ ของแต่ละสังคมต่างกัน จึงทำให้ลักษณะการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของแต่ละสังคมแตกต่างกันไป
ระบบเศรษฐกิจในโลกนี้ที่นิยมแพร่หลายนั้น แบ่งได้ 4 ระบบ คือ ระบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม ระบบคอมมิวนิสต์ ระบบสังคมนิยม และระบบเศรษฐกิจแบบผสม โดยแผนภูมิที่แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลกับเอกชน ในแต่ละระบบเศรษฐกิจนั้นมี ดังนี้
ระบบเศรษฐกิจ    ผู้รับผิดชอบการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
  • ระบบเศรษฐกิจทุนนิยม หรือเสรีนิยม == > รัฐบาล
  • ระบบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์ == > รัฐบาล > เอกชน
  • ระบบเศรษฐกิจสังคมนิยม == > เอกชน + รัฐบาล
  • ระบบเศรษฐกิจแบบผสม == > เอกชน
ลักษณะเด่นต่างๆ ข้อดีและข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแบบต่างๆ
ระบบคอมมิวนิสต์             
ลักษณะเด่น
  • รัฐบาลเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตอย่างสิ้นเชิง
  • รัฐบาลเป็นผู้ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น
  • เอกชนไม่มีสิทธิทำกิจกรรมเศรษฐกิจใดๆ
ข้อดี
  • เอกชนไม่ต้องรับผิดชอบทางด้านเศรษฐกิจ
  • ทรัพยากรถูกควบคุมการใช้จากรัฐบาลทำให้ไม่ถูกทำลาย
ข้อเสีย
  • ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจ(รัฐบาลทำทั้งหมด)
  • สินค้าและบริการมีน้อยและด้อยคุณภาพเพราะไม่มีการแข่งขัน
  • ผลผลิตต่ำ เพราะประชาชนไม่มีขวัญและกำลังใจในการทำธุรกิจ
ระบบสังคมนิยม
ลักษณะเด่น
  • รัฐบาลเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตที่สำคัญ
  • รัฐบาลทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่รายได้สูงเกี่ยวข้องกับประชาชนมากๆ
  • เอกชนมีสิทธิทำธุรกิจต่างๆ ที่รัฐบาลไม่ทำ(ธุรกิจขนาดเล็ก)
  • รัฐบาลจัดสวัสดิการให้แก่ประชาชน
ข้อดี
  • การกระจายรายได้ดี เพราะรายได้ส่วนใหญ่เป็นของรัฐบาลประชาชนจะมีรายได้ไม่แตกต่างกันมาก
  • ประชาชนได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์จากรัฐบาลในรูปของสวัสดิการและสินค้าบริการที่รัฐบาลทำ
ข้อเสีย
  • เอกชนถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพบางส่วน
  • รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณมาทำธุรกิจและมักจะขาดทุน กิจกรรมต่างๆ มีคุณภาพต่ำ
ระบบเศรษฐกิจแบบผสม 
ลักษณะเด่น
  • ระบบทุนนิยมกับสังคม
  • กิจกรรมทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่เป็นของเอกชนเหมือนทุนนิยม
  • รัฐบาลเข้ามาทำธุรกิจเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ให้แก่ประชาชน
  • ปัญหาทางเศรษฐกิจได้รับการแก้ไขจากรัฐบาลและเอกชน
  • รัฐบาลจัดสวัสดิการให้แก่ประชาชน
ข้อดี
  • ประชาชนมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ
  • สินค้าและบริการมีมาก คุณภาพดี และราคาถูก
  • ประชาชนได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์จากรัฐบาลในรูปของสวัสดิการธุรกิจที่จำเป็นแก่การครองชีพ
  • เอกชนมีกำลังใจในการทำธุรกิจเพราะมีกำไรเป็นแรงจูงใจ
ข้อเสีย
  • รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณมาทำธุรกิจมักจะขาดทุน
ระบบทุนนิยม / เสรีนิยม
ลักษณะเด่น
  • เอกชนเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
  • เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต โดยมีกฎหมายรับรอง
  • มีการแข่งขันทางด้านคุณภาพประสิทธิภาพราคาและการบริการ โดยมีกำไรเป็นแรงจูงใจ
  • ราคาสินค้าถูกกำหนดโดยกลไกแห่งราคา (อุปสงค์-อุปทาน)
ข้อดี
  • เอกชนมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจ
  • สินค้าและบริการมีมากคุณภาพดี ราคาถูก
  • รัฐบาลไม่ต้องจัดสรรงบประมาณมาทำธุรกิจ
ข้อเสีย
  • การกระจายรายได้ไม่ดี เพราะรายได้ส่วนใหญ่ตกแก่นายทุน
  • ประชาชนอาจมีปัญหาจากราคาสินค้าและสินค้าขาดแคลนเนื่องจากนายทุนรวมตัวกัน
  • การใช้ทรัพยากรฟุ่มเฟือย

  •                                    หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
  • เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิตที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
     มีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517เป็นต้นมา และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ

  • ทฤษฎีใหม่ (เกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินทำเกษตรผสมผสาน)

  • 1. ทฤษฏีใหม่ขั้นต้น แบ่งพื้นที่
         -ร้อยละ 30 ขุดสระเก็บกักน้ำเพื่อใช้
         -ร้อยละ 30 ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อเป็นอาหารประจำวัน
         -ร้อยละ 30 ปลูกพืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ไม้ผล  ไม้ยืนต้นฯลฯ
         -ร้อยละ 10 เป็นที่อยุ่อาศัยและโรงเรือนอื่นๆ เลี้ยงสัตว์
    2. ทฤษฎีใหม่ขั้นที่สอง ( ขั้นก้าวหน้า )
          -รวมพลังกันในรูปของกลุ่มหรือสหกรณ์ ดำเนินการ ด้านการผลิต การตลาด ฯลฯ
    3. ทฤษฏีใหม่ขั้นที่สาม
         -ติดต่อประสานงานเพื่อจัดหาทุนหรือแหล่งเงินมาช่วยในการลงทุนพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น     
                        เกษตรกรขายผลผลิตได้ราคาสูงไม่ถูกกดราคา
                        ๐ ธนาคารหรือบริษัทสามารถซื้อสินค้าได้ราคาต่ำ(ซื้อโดยตรงจากเกษตรกร)                               
อ้างอิง http://www.mu.ac.th/
          https://lipzaza852.wordpress.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น