ใบความรู้เรื่อง
กลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ
ตลาดในระบบเศรษฐกิจนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลาดทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่าง
ผู้ผลิตกับผู้บริโภค
ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค
และยังช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าและบริการ
มาบำบัดความต้องการได้อย่างทั่วถึง
ซึ่งในบทนี้ จะศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดในทางเศรษฐศาสตร์
ความหมายของตลาดในทางเศรษฐศาสตร์
ตลาด หมายถึง การซื้อขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือภาวะการณ์ในการซื้อขายสินค้านั้นๆ
ซึ่งก็
หมายถึงว่า
การซื้อขายไม่จำเป็นต้องมีตลาดเป็นตัวตน ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องมาพบกัน
เพียงแต่ใช้
เครื่องมือสื่อสารตกลงกัน
หน้าที่ของการตลาด
การตลาด ซึ่งรวมถึงการรับเสี่ยงภัยและการขนส่ง
ย่อมมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในฐานะเป็นขั้น
หนึ่งของกระบวนการผลิต
ทั้งนี้ก็เพราะ การผลิต ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นถือว่าจะมีผลผลิต ก็ต่อเมื่อสินค้าได้
ถึงมือผู้บริโภคแล้ว
เท่านั้น จึงพอสรุปหน้าที่ได้ ดังนี้
• แสวงหาอุปสงค์และคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับอุปสงค์
• เสริมสร้างให้เกิดอุปสงค์
• สนองความต้องการอุปสงค์
ประเภทและลักษณะของตลาด
ประเภทของตลาด
ลักษณะของตลาด ตัวอย่างสินค้า
1.
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากแต่สินค้าจะมีน้อย โดยที่สินค้าจะมีลีกษณะเดียวกัน
ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรู้ถึงสภาวะของตลาด โดยที่จะมีการขนส่งโดยสมบูรณ์
หน่วยธุรกิจสามารถเข้าออกจากธุรกิจโดยเสรีข้าว ข้าวโพด
2.
ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีอิสระในการเลือกซื้อ
แต่ชนิดสินค้าที่ผลิตจะต่างมาตรฐานและลักษณะที่แตกต่างกันออกไป
ผู้ขายสามารถกำหนดราคาได้
ตามต้องการทั้งๆต้องแข่งขันกับคู่ค้ารายอื่นเสื้อผ้า
รองเท้า สบู่ยาสระผม ยาสีฟัน
แปรงสีฟัน
กลไกราคากับระบบเศรษฐกิจ
1. กลไกราคา
กลไกราคา หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน
เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับความ
ต้องการของผู้บริโภค
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดอุปสงค์และอุปทาน
ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น
เมื่อราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลง
แต่อุปทานของสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นกลไกราคาจะพบได้ในทุกตลาด ยกเว้น
ตลาดแบบผูกขาด เพราะกลไกราคาจะเกิดได้เฉพาะตลาดที่มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะของตลาดเสรีหรือประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม
หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมเท่านั้นโดยระบบเศรษฐกิจเหล่านี้จะมีกลไกราคาเป็นตัวกำหนดว่าจะผลิตสินค้าปริมาณเท่าใดและราคาเท่าใด
2. การกำหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ
กำหนดไว้ 2 วิธี คือ
2.1 ให้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ
ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน
2. 2 รัฐบาลกำหนดราคาสินค้าและบริการด้วยการควบคุมและแทรกแซงราคาสินค้าและบริการด้วยวิธีกำหนดราคาเมื่อสินค้าที่จำเป็นขาดตลาด
เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค การประกันราคาขั้นต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิต
การพยุงราคาสินค้าไม่ให้ตกต่ำมากเกินไป
เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่ให้ขาดทุน
3. อุปสงค์
(Demand)
อุปสงค์ หมายถึง
ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภคที่เต็มใจจะซื้อและซื้อหามาได้
ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการที่จะ
ซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว ก็จะสามารถมีกำลังซื้อสินค้านั้นได้
แต่ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อหรือไม่มีกำลัง ซื้อ
ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทางเศรษฐศาสตร์
3.1 กฎของอุปสงค์
(Law of Demand) หมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและ
บริการในราคาต่ำ(ราคาถูก) ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง(ราคาแพง)
3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์
การที่ผู้บริโภคจะทำการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจำนวนเท่าใดนั้น
ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการ
(ตามกฎของอุปสงค์)
2. รายได้ของผู้บริโภค
4. สมัยนิยม
5. การโฆษณาและเทคนิคการตลาด
6. ราคาสินค้าหรือบริการอื่นๆที่ต้องใช้ร่วมกันหรือแทนกันได้
7. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
8. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
9. พฤติกรรมของผู้บริโภค
เช่น ฤดูกาล การศึกษา
10. ภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นๆ
4. อุปทาน
(Supply)
อุปทาน หมายถึง
ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิตให้แก่ผู้ซื้อ ณ
ระดับราคาต่างๆตามที่ตลาดกำหนดให้
กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ยินดีที่จะ
เสนอขายมากขึ้น
แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลงตามไปด้วย
4.1 กฎของอุปทาน
(Law of Supply) หมายถึง ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขายสินค้า
และบริการในราคาสินค้าและบริการที่สูง(ราคาแพง)
ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการที่ต่ำ(ราคาถูก)
4.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทาน
การที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อมากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ
ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการในขณะนั้นๆ
(กฎของอุปทาน)
3. เทคโนโลยีการผลิตที่นำมาใช้
4. ฤดูกาล
5. สภาวะของตลาดและภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น
6. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาสินค้าและบริการของผู้ผลิต
(การเกิดกำไร)
7. จำนวนผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่ง
(ราคาสินค้าและบริการชนิดเดียวกันที่มีการแข่งขันกัน)
5. ดุลยภาพ
(Equilibrium)
กลไกราคาทำงานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค
ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า ณ เวลาใด เวลาหนึ่ง
ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดมีมากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่
ผู้ผลิตจะยินดีขายให้ ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น
เนื่องจากการขาดแคลนของสินค้า แต่ถ้า
ปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค หรือปริมาณอุปทานของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่
ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ ราคาสินค้านั้นก็จะมีแนวโน้มลดต่ำลง
เมื่อปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากัน ราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่ง
หรือที่เรียกว่า มีเสถียรภาพไม่ปรับขึ้นลงอีก ยกเว้นว่า
จะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ตลาดต้อง เปลี่ยนแปลงไป
สรุป
การทำงานของกลไกราคาจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรสามารถดำเนินไปได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ
โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่น
เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย จะ
ทำให้สินค้ามีราคาที่สะท้อนความขาดแคลนของสินค้าหรือ
ทรัพยากรนั้นๆ ผู้ซื้อย่อมทราบดีถึงความต้องการที่
แท้จริงของตน
เช่นเดียวกับผู้ผลิตก็ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่นว่าต้นทุนการผลิตของตนเองเป็นอย่างไร
และสมควร
ตอบสนองความต้องการสินค้าในท้องตลาดอย่างไร
6. อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน
6.1 ภาวะอุปสงค์ส่วนเกินหรืออุปทานส่วนขาด
คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการมาก จะทำให้
ราคาสินค้าและบริการสูง
ส่งผลให้สินค้าและบริการขาดตลาด อุปสงค์ส่วนเกินจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อราคา
สินค้าต่ำกว่าจุดดุลยภาพ
ซึ่งหมายถึง ความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตทำการผลิต
ออกมาขาย
6.2 ภาวะอุปทานส่วนเกินหรืออุปสงค์ส่วนขาด
คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการน้อยจะทำให้
การบริโภคสินค้าและบริการต่ำ
ส่งผลให้สินค้าและบริการล้นตลาด อุปทานส่วนเกินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคา
สินค้าอยู่เหนือจุดดุลยภาพ
ซึ่งหมายถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีน้อยกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่
ผู้ผลิตผลิตออกมาขาย
เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
ศรัพท์ทางเศรษฐศาสตร์
ราคาดุลยภาพ คือราคาที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความต้องการตรงกัน
และพอใจที่จะซื้อและขายสินค้าซึ่งกันและกันในราคาดุลยภาพนั้น
ปริมาณดุลยภาพ คือปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความต้องการตรงกัน
สินค้าจะหมดพอดี ไม่เหลือ ไม่ขาดตลาด
อุปสงค์ส่วนเกิน คือสภาวะความต้องการซื้อมีมากกว่าสินค้าหรือความต้องการขาย(จุดที่ราคาต่ำกว่าราคาดุลภาพ)
อุปทานส่วนเกิน คือสภาวะสินค้ามีมากกว่าความต้องการหรือปริมาณเสนอขายมีมากกว่าปริมาณเสนอซื้อ(จุดที่ราคาสูงกกว่าราคาดุลภาพ)
ต้นทุนค่าเสียโอกาส คือมูลค่าของผลตอบแทนจากกิจกรรมที่สูญเสียโอกาสไปในการเลือกทำกิจกรรมอย่างหนึ่ง
ทั้งที่ ตัวเลือกที่มีอยู่เป็นตัวเลือกที่ต้องการ แต่ไม่สามารถเลือกพร้อมกันได้
แบบฝึกหัด
1. กลไกตลาด หรือ
กลไกราคา คือ
..................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
2. อุปสงค์
Demand
ความหมาย
....................................................................................................................................................................................................................................................
ปัจจัยที่มีผล
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
กฎของอุปสงค์
....................................................................................................................................................................................................................................................
อุปสงค์ส่วนเกิน
....................................................................................................................................................................................................................................................
3. อุปทาน
Supply
ความหมาย
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
ปัจจัยที่มีผล
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
กฎของอุปทาน
.............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
อุปทานส่วนเกิน
..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
4. ราคาดุลยภาพ
คือ
..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
5. ต้นทุนค่าเสียโอกาส
คือ
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น