วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558


                        ใบความรู้เรื่อง                               
กลไกราคาในระบบเศรษฐกิจ

ตลาดในระบบเศรษฐกิจนับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากตลาดทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่าง
ผู้ผลิตกับผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยทำให้สินค้าจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภค และยังช่วยให้ผู้บริโภคมีสินค้าและบริการ
มาบำบัดความต้องการได้อย่างทั่วถึง ซึ่งในบทนี้ จะศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดในทางเศรษฐศาสตร์
ความหมายของตลาดในทางเศรษฐศาสตร์
ตลาด หมายถึง การซื้อขายสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งหรือภาวะการณ์ในการซื้อขายสินค้านั้นๆ ซึ่งก็
หมายถึงว่า การซื้อขายไม่จำเป็นต้องมีตลาดเป็นตัวตน ผู้ซื้อและผู้ขายไม่จำเป็นต้องมาพบกัน เพียงแต่ใช้
เครื่องมือสื่อสารตกลงกัน

หน้าที่ของการตลาด
การตลาด ซึ่งรวมถึงการรับเสี่ยงภัยและการขนส่ง ย่อมมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตในฐานะเป็นขั้น
หนึ่งของกระบวนการผลิต ทั้งนี้ก็เพราะ การผลิต ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นถือว่าจะมีผลผลิต ก็ต่อเมื่อสินค้าได้
ถึงมือผู้บริโภคแล้ว เท่านั้น จึงพอสรุปหน้าที่ได้ ดังนี้
แสวงหาอุปสงค์และคาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับอุปสงค์
เสริมสร้างให้เกิดอุปสงค์
สนองความต้องการอุปสงค์

ประเภทและลักษณะของตลาด
ประเภทของตลาด ลักษณะของตลาด ตัวอย่างสินค้า
1. ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากแต่สินค้าจะมีน้อย โดยที่สินค้าจะมีลีกษณะเดียวกัน ผู้ซื้อและผู้ขายจะต้องรู้ถึงสภาวะของตลาด โดยที่จะมีการขนส่งโดยสมบูรณ์ หน่วยธุรกิจสามารถเข้าออกจากธุรกิจโดยเสรีข้าว ข้าวโพด
2. ตลาดกึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด
มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากทั้งผู้ซื้อและผู้ขายมีอิสระในการเลือกซื้อ แต่ชนิดสินค้าที่ผลิตจะต่างมาตรฐานและลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ผู้ขายสามารถกำหนดราคาได้
ตามต้องการทั้งๆต้องแข่งขันกับคู่ค้ารายอื่นเสื้อผ้า รองเท้า สบู่ยาสระผม ยาสีฟัน
แปรงสีฟัน 


กลไกราคากับระบบเศรษฐกิจ
1. กลไกราคา
กลไกราคา หมายถึง ภาวการณ์เปลี่ยนแปลงในระดับราคาสินค้าและบริการอันเกิดจากแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน เมื่อผู้ผลิตพยายามปรับปรุงการผลิตและบริการให้สอดคล้องกับความ ต้องการของผู้บริโภค ดังนั้นจะเห็นได้ว่าราคาสินค้าและบริการเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดอุปสงค์และอุปทาน ตลอดจนเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนราคาให้เข้าสู่จุดดุลยภาพ เช่น เมื่อราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปแล้วความต้องการซื้อหรืออุปสงค์ก็จะลดลง แต่อุปทานของสินค้าและบริการจะเพิ่มขึ้นกลไกราคาจะพบได้ในทุกตลาด ยกเว้น ตลาดแบบผูกขาด เพราะกลไกราคาจะเกิดได้เฉพาะตลาดที่มีการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในลักษณะของตลาดเสรีหรือประเทศที่ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสมเท่านั้นโดยระบบเศรษฐกิจเหล่านี้จะมีกลไกราคาเป็นตัวกำหนดว่าจะผลิตสินค้าปริมาณเท่าใดและราคาเท่าใด
2. การกำหนดราคาสินค้าและบริการในทางเศรษฐกิจ กำหนดไว้ 2 วิธี คือ
2.1  ให้กลไกราคาเป็นเครื่องมือในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามแรงผลักดันของอุปสงค์และอุปทาน
2. 2 รัฐบาลกำหนดราคาสินค้าและบริการด้วยการควบคุมและแทรกแซงราคาสินค้าและบริการด้วยวิธีกำหนดราคาเมื่อสินค้าที่จำเป็นขาดตลาด เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค การประกันราคาขั้นต่ำเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิต การพยุงราคาสินค้าไม่ให้ตกต่ำมากเกินไป เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้ขายไม่ให้ขาดทุน
3. อุปสงค์ (Demand)
อุปสงค์ หมายถึง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าและบริการชนิดใดชนิดหนึ่งของผู้บริโภคที่เต็มใจจะซื้อและซื้อหามาได้ ณ ระดับราคาต่างๆที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการที่จะ ซื้อสินค้าและบริการนั้นแล้ว ก็จะสามารถมีกำลังซื้อสินค้านั้นได้ แต่ถ้าผู้บริโภคไม่สามารถที่จะซื้อหรือไม่มีกำลัง ซื้อ ก็จะไม่ถือว่าเป็นอุปสงค์ตามความหมายในทางเศรษฐศาสตร์
        3.1 กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) หมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการซื้อสินค้าและ บริการในราคาต่ำ(ราคาถูก) ในปริมาณมากกว่าซื้อสินค้าในราคาสูง(ราคาแพง)
        3.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์
การที่ผู้บริโภคจะทำการซื้อสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งในขณะใดขณะหนึ่งเป็นจำนวนเท่าใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการ (ตามกฎของอุปสงค์)
2. รายได้ของผู้บริโภค
3. รสนิยมของผู้บริโภค
4. สมัยนิยม
5. การโฆษณาและเทคนิคการตลาด
6. ราคาสินค้าหรือบริการอื่นๆที่ต้องใช้ร่วมกันหรือแทนกันได้
7. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
8. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาของผู้บริโภค
9. พฤติกรรมของผู้บริโภค เช่น ฤดูกาล การศึกษา
10. ภาวะเศรษฐกิจขณะนั้นๆ

4. อุปทาน (Supply)
อุปทาน หมายถึง ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ขายหรือผู้ผลิตยินดีขายหรือผลิตให้แก่ผู้ซื้อ ณ
ระดับราคาต่างๆตามที่ตลาดกำหนดให้ กล่าวคือ เมื่อราคาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งเพิ่มสูงขึ้น ผู้ผลิตก็ยินดีที่จะ
เสนอขายมากขึ้น แต่ถ้าราคาสินค้าชนิดนั้นลดลงปริมาณของอุปทานก็จะลดลงตามไปด้วย
       4.1 กฎของอุปทาน (Law of Supply) หมายถึง ผู้ผลิตมีความต้องการเสนอขายสินค้า
และบริการในราคาสินค้าและบริการที่สูง(ราคาแพง) ในปริมาณมากกว่าราคาสินค้าและบริการที่ต่ำ(ราคาถูก)
       4.2 ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอุปทาน
การที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ซื้อมากน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ดังนี้
1. ราคาสินค้าและบริการในขณะนั้นๆ (กฎของอุปทาน)
2. ต้นทุนการผลิตที่เปลี่ยนแปลง (วัตถุดิบ)
3. เทคโนโลยีการผลิตที่นำมาใช้
4. ฤดูกาล
5. สภาวะของตลาดและภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น
6. การคาดคะเนการขึ้นลงของราคาสินค้าและบริการของผู้ผลิต (การเกิดกำไร)
7. จำนวนผู้ผลิตที่เป็นคู่แข่ง (ราคาสินค้าและบริการชนิดเดียวกันที่มีการแข่งขันกัน)
5. ดุลยภาพ (Equilibrium)
กลไกราคาทำงานโดยได้รับอิทธิพลจากทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ซึ่งเราจะสังเกตเห็นได้ว่า ณ เวลาใด เวลาหนึ่ง ถ้าปริมาณความต้องการหรือปริมาณอุปสงค์ต่อสินค้าในตลาดมีมากเกินกว่าปริมาณสินค้าที่ ผู้ผลิตจะยินดีขายให้ ราคาสินค้าก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนของสินค้า แต่ถ้า ปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตประสงค์จะขายให้ผู้บริโภค หรือปริมาณอุปทานของสินค้ามีมากกว่าปริมาณสินค้าที่ ผู้บริโภคประสงค์จะซื้อ ราคาสินค้านั้นก็จะมีแนวโน้มลดต่ำลง เมื่อปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานเท่ากัน ราคาสินค้าจึงจะอยู่นิ่ง หรือที่เรียกว่า มีเสถียรภาพไม่ปรับขึ้นลงอีก ยกเว้นว่า จะมีปัจจัยอื่นๆที่ทำให้ตลาดต้อง เปลี่ยนแปลงไป
สรุป การทำงานของกลไกราคาจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรสามารถดำเนินไปได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่น เพราะการแข่งขันระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย จะ
ทำให้สินค้ามีราคาที่สะท้อนความขาดแคลนของสินค้าหรือ ทรัพยากรนั้นๆ ผู้ซื้อย่อมทราบดีถึงความต้องการที่
แท้จริงของตน เช่นเดียวกับผู้ผลิตก็ย่อมทราบดีกว่าผู้อื่นว่าต้นทุนการผลิตของตนเองเป็นอย่างไร และสมควร
ตอบสนองความต้องการสินค้าในท้องตลาดอย่างไร
6. อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน
6.1 ภาวะอุปสงค์ส่วนเกินหรืออุปทานส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการมาก จะทำให้
ราคาสินค้าและบริการสูง ส่งผลให้สินค้าและบริการขาดตลาด อุปสงค์ส่วนเกินจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อราคา
สินค้าต่ำกว่าจุดดุลยภาพ ซึ่งหมายถึง ความต้องการซื้อมีมากกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตทำการผลิต
ออกมาขาย
6.2 ภาวะอุปทานส่วนเกินหรืออุปสงค์ส่วนขาด คือ ถ้าสินค้าใดเป็นที่ต้องการน้อยจะทำให้
การบริโภคสินค้าและบริการต่ำ ส่งผลให้สินค้าและบริการล้นตลาด อุปทานส่วนเกินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อราคา
สินค้าอยู่เหนือจุดดุลยภาพ ซึ่งหมายถึงความต้องการซื้อสินค้าและบริการมีน้อยกว่าปริมาณสินค้าและบริการที่
ผู้ผลิตผลิตออกมาขาย

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม
ศรัพท์ทางเศรษฐศาสตร์
ราคาดุลยภาพ คือราคาที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความต้องการตรงกัน และพอใจที่จะซื้อและขายสินค้าซึ่งกันและกันในราคาดุลยภาพนั้น
ปริมาณดุลยภาพ คือปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความต้องการตรงกัน สินค้าจะหมดพอดี ไม่เหลือ ไม่ขาดตลาด
อุปสงค์ส่วนเกิน คือสภาวะความต้องการซื้อมีมากกว่าสินค้าหรือความต้องการขาย(จุดที่ราคาต่ำกว่าราคาดุลภาพ)
อุปทานส่วนเกิน คือสภาวะสินค้ามีมากกว่าความต้องการหรือปริมาณเสนอขายมีมากกว่าปริมาณเสนอซื้อ(จุดที่ราคาสูงกกว่าราคาดุลภาพ)
ต้นทุนค่าเสียโอกาส คือมูลค่าของผลตอบแทนจากกิจกรรมที่สูญเสียโอกาสไปในการเลือกทำกิจกรรมอย่างหนึ่ง ทั้งที่ ตัวเลือกที่มีอยู่เป็นตัวเลือกที่ต้องการ แต่ไม่สามารถเลือกพร้อมกันได้ 

  

แบบฝึกหัด

1. กลไกตลาด หรือ กลไกราคา คือ ..................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

2. อุปสงค์ Demand
     ความหมาย
....................................................................................................................................................................................................................................................
      ปัจจัยที่มีผล
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
         กฎของอุปสงค์
....................................................................................................................................................................................................................................................
         อุปสงค์ส่วนเกิน
....................................................................................................................................................................................................................................................
3. อุปทาน Supply
     ความหมาย
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................

      ปัจจัยที่มีผล
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
        กฎของอุปทาน
............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................. 
         อุปทานส่วนเกิน
..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
4. ราคาดุลยภาพ คือ
..............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
5. ต้นทุนค่าเสียโอกาส คือ
........................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น